วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วันที่ 25 ของการเดินทาง From Frankfurt to Cologne (27Oct)

เช้าวันนี้ต้องออกเดินทางไป Cologne หรือ Köln ทานอาหารเช้าของโรงแรม  เช็คเอาท์แล้วลากกระเป๋าไปยังสถานีรถไฟ รอขึ้นรถไฟความเร็วสูง ICE ตั๋วซื้อมาจากเมืองไทยแล้ว รถออกเวลา 10.29 น 



รถไฟความเร็วสูงจะสังเกตุได้ง่ายๆเพราะรูปร่างรถจะไม่เหมือนรถไฟทั่วๆไป และส่วนใหญ่ก็จะเป็นขบวนที่วิ่งระหว่างประเทศในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สวิส อังกฤษ





รถไฟเร็วมากใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็ถึง Cologn Hauptbahnhof 


วันนี้ตามแผนคือเมื่อเข้าโรงแรมแล้วจะนั่งรถไฟไป Bonn แล้วตอนเย็นจะกลับมานอนที่ Cologne เลยซื้อตั๋ว Day ticket 5 Person จาก Ticket machine แต่เมื่อไปถามที่เคาน์เตอร์ปรากฏว่าตั๋วประเภทที่เราซื้อไม่สามารถนั่งไป Bonn ได้ เพราะตั๋วในเขตรัฐนี้ดูค่อนข้างยาก เพราะแบ่งเป็นประมาณ 10 โซน เอาตั๋วไปขอเปลี่ยนที่พนักงาน เขายอมเปลี่ยนให้ แต่ต้องเพิ่มเงินจาก 12.9 ยูโร เป็น 26.1 ยูโรถึงจะครอบคลุมถึง Bonn ดูแล้วเรามีเวลาแค่ช่วงบ่ายเลยไม่ปลี่ยน ตัดสินใจเที่ยวใน Cologne ก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางไป Bonn



ราคาตั๋วแบ่งตามโซน เราจะต้องซื้อ Day ticket 5 Persons โซน 4 เพื่อจะไป Bonn แต่เราไปซื้อ โซน 1b

Cologne หรือ Köln (เคิล์น) ตั้งชื่อตามพระนามโคโลเนีย อะกริปปา พระชายาองค์ที่ 3 ของจักรพรรดิเคลาดิอุสแห่งอาณาจักรโรมัน ที่ได้แผ่ขยายอาณาเขตมาสร้างเมืองขึ้นที่นี่เมื่อปี 51 ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์ เมื่อนั่งรถไฟข้ามสะพานโฮเฮนซอลเลิร์นก็จะพบกับสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตอลังการที่สุดนั่นก็คือ มหาวิหารโคโลญ (Koln Dom) ตั้งตระหง่านสูงโดดเด่นด้วยหอคอยคู่สูงเสียดฟ้า 157 เมตร อยู่ข้างๆสถานีรถไฟ Cologne Hauptbahnbof มีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละ 6 ล้านคน มากกว่าปราสาทนอยชวานสไตน์ที่มีผู้มาเยือนปีละ 1.4 ล้านคน และเป็นวิหารที่ใช้เวลาก่อสร้างนานที่สุดถึง 700 ปี
หินที่ใช้ก่อสร้างเป็นหินทรายขาวจึงเห็นรอยดำด่างไปตามกาลเวลา จะสังเกตุง่ายๆว่าส่วนที่ยังขาวอยู่คือส่วนที่ได้รับการบูรณะทีหลัง 
วิหารนี้ลงมือก่อสร้างในปี 1164 เพื่อให้เป็นที่ประดิษฐานแท่นบูชาสามกษัตริย์ (ในพระคัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า โหราจารย์ Three Magi) หอคอยคู่ได้รับการสร้างขึ้นในปี 1330 และมีการต่อเติมมาเรื่อยๆ กินเวลาทั้งหมดเกือบ 700 ปี ถึงในปัจจุบันก็ยังมีการต่อเติมซ่อมแซมเรื่อยๆ มหาวิหารนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1996






จาก HBF นั่งรถไฟ S bahn สาย S13 ไป 3 สถานีลงที่ สถานี Koln Technologiepark แต่ระยะทางไกลพอสมควร



ลงจากชานชลาลากกระเป๋าเดินไปโรงแรมประมาณ 500 เมตร ระหว่างดูแผนที่ไปโรงแรมมีลุงชาวเยอรมันขี่จักรยานติดธงชาติแวะมาถามเราเป็นภาษาเยอรมัน เราฟังไม่รู้เรื่องคงจะมาช่วยบอกทาง ขอดูแผนที่แล้วชี้บอกทางให้ เราขอบคุณแล้วเดินจากไป ตรงทางแยกกำลังงงว่าจะเลี้ยวทางไหนเพราะแผนที่ไม่ค่อยชัดเจน ลุงคนเดิมเขาขี่จักรยานตามเรามา แล้วมาพาไปโรงแรม ในระหว่างทริปเราได้พบเพื่อนต่างชาติผู้ใจดีที่คอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวหลายครั้ง ถึงแม้เราจะพูดคนละภาษา แต่ความมีน้ำใจนั้นสามารถสื่อกันได้อย่างง่ายดาย ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ เสียดายลืมถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก


เช็คอินเสร็จนั่งรถกลับไปที่ HBF เพื่อไปชมวิหารโคโลญ สะพานโฮเฮนซอลเลิร์นและเขตเมืองเก่า






ซุ้มประตูปีเตอร์ ซึ่งมีรูปปั้นของ 12 อัครสาวกของพระเยซู






































พื้นปูด้วยโมเสคเล็กๆเป็นภาพลวดลายต่างๆ







































ภาพเก่าที่ติดแสดงไว้ ตอนมหาวิหารและสะพานถูกทำลายในสมัยสงครามโลฃกครั้งที่ 2 ซึ่งกองทัพฝ่ายพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดปูพรมเมืองโคโลญเสียหายยับเยิน แต่สิ่งก่อสร้างเดียวที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ก็คือมหาวิหารโคโลญนี่แหละ












ออกจากมหาวิหารเดินไปยังสะพาน โฮเฮนซอลเลิร์น (Hohenzollern Brucke)





สะพาน โฮเฮนซอลเลิร์น (Hohenzollern Brucke)
เป็นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำไรน์ ซึ่งช่วงที่ไหลผ่านโคโลญเป็นช่วงที่กว้างและมีตลิ่งที่สูงชัน ความยาว 1320 กิโลเมตร ไหลผ่านออสเตรีย เยอรมันนี ฝรั่งเศสและไหลลงทะเลเหนือที่เนเธอร์แลนด์ ช่วงที่ไหลผ่านเยอรมันนีเป็นช่วงที่ยาวที่สุด
เป็นสะพานรถไฟที่มีทางคนเดินด้านข้าง บนราวสะพานจะมีแม่กุญแจที่คู่รักจากทั่วโลกได้นำไปคล้องล็อคติดไว้เต็มจนแทบจะไม่มีที่ว่าง เป็นที่รวมแม่กุญแจที่ถูกนำมาจากทั่วโลก บางอันก็สลักชื่อและข้อความคำมั่นสัญญา 
มองกลับไปจะเห็นหอคอยคู่ของมหาวิหารโคโลญตั้งเด่นเป็นสง่า เป็นมุมที่นักถ่ายภาพจะไม่ยอมพลาด และเดี๋ยวเราจะกลับมาอีกตอนกลางคืน













Rhine Garden สวนสาธารณะริมแม่น้ำไรน์



Marktplatz หรือ Fischmarkt สมัยก่อนเคยเป็นตลาดปลา

ฝั่งตรงข้ามจะเป็นโบสถ์ St Heribert Orthodox Greek Church


 St Martin Church 
สร้างครั้งแรกในปี 1170 แต่ได้ถูกทำลายในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังที่เห็นในปัจจุบันได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี 1963 เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของเขตเมืองเก่า















เดินตามถนนแคบๆที่ปูด้วยหินเป็นย่านเมืองเก่า มีผับ บาร์ตั้งอยู่มากมาย ค่ำแล้วรอถ่ายรูปปราสาทตอนค่ำคืน เลยแวะทานสเต็กและชิมเบียร์โคโลญ์ซะหน่อย



สเต็กที่นี่รสชาดอร่อยที่สุดที่ทานตลอดทริป เนื้อนุ่ม หอมหวาน มันฝรั่งอบก็สุดยอด


Reiterstandbild Friedrich Wilhelm III. พระบรมรูปทรงม้า 

 เดินต่อไปตามถนนคนเดิน จุดหมายคือ Cologne 4711 มาฝากคุณพ่อ มาถึงที่แล้วจะพลาดได้ไง ได้ขนาด 800 ml ราคา 108 ยูโร ปัจจุบันที่เมืองไทยไม่มีขายแล้ว เห็นแต่บอกของหิ้วไม่แน่ใจว่าของแท้หรือปลอมเพราะราคาถูกว่าที่ซื้อที่เมือง Cologne เป็นเท่าตัว หุหุ





เดินย้อนกลับไปที่สะพาน Deutzer Brucke


ภาพถ่ายจากสะพาน Deutzer Brucke ตอนค่ำคืน


















ดึกแล้ว เดินข้ามสะพานโฮเฮนซอลเลิร์นกลับมายังฝั่งมหาวิหาร ขึ้นรถไฟสาย S13 กลับโรงแรม พรุ่งนี้จะเดินทางไปกลับเมืองบอนน์ บ้านเกิดบีโธเว่น อัจฉริยะดนตรีชื่อก้องโลก
คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ค่ะ.............................




ตอนที่แล้ว
ตอนที่ 25 วันที่ 24 ของการเดินทาง Daytrip to Heidelberg (26Oct)

ตอนต่อไป
ตอนที่ 27 วันที่ 26 ของการเดินทาง Daytrip to Bonn (28Oct)

ขอฝากบล็อค 'ตะลุย Europe & UK'
ตะลุย Europe & UK ไม่ง้อทัวร์

การขอวีซ่า เชงเก้นและ UK
วีซ่า เชงเก้น และ UK