วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วันที่ 13 ของการเดินทาง From Hallstatt to Salzburg (15Oct)

ตื่นเช้าด้วยบรรยากาศสบายถึงแม้อากาศจะหนาวเย็นมาก ทานอาหารง่ายๆที่เตรียมมาที่ระเบียงห้องพัก วันนี้เราจะเดินทางไป Salzburg เวลา 10.15 โดยข้ามทะเลสาปด้วยเรือเฟอรี่ เพื่อไปขึ้นรถไฟเวลา 10.32 เป็นขบวนที่จะเดินทางไป Attnang-Puchheim แต่เราจะลงที่สถานี Bad Ischl เวลาของเรือข้ามฟากจะสัมพันธ์กับเวลาของรถไฟ เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะตกรถไฟ เมื่อเราลงที่สถานี Bad Ischl ก็จะหารถบัสต่อไปที่ Sulzburg ซึ่งสถานีรถบัสก็จะอยู่ติดกับสถานีรถไฟ ตั๋วโดยสารไม่ได้จองมาเพื่อต้องการยืดหยุ่นในเรื่องเวลา แต่ไม่ยากค่ะ


มีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าก่อนจะไปขึ้นเรือ ออกจากโรงแรมเดินไปที่สุสานประจำเมืองที่มีบรรยากาศดีมากไม่เหมือนสุสาน (เห็นแล้วน่าตาย 555) มีโบสถ์เล็กๆและ Beinhaus Hallstatt (Bone House)











The Catholic Parish Church
โบสถ์นี้เปรียบเสมือนเพชรเม็ดงามของหมู่บ้านนี้ สร้างตั้งแต่ปี 1181 โบสถ์นี้เป็นศูนย์กลางการต่อสู้ทางศาสนาของยุคนั้น และปัจจุบันก็เป็นศูนย์กลางและศูนย์รวมของชาวหมู่บ้าน ได้รับการบูรณะใหม่อีกครั้งในปี 1939และแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2002









Beinhaus Hallstatt (Bone House)
เป็นสถานที่ที่แปลกกว่าที่อื่นๆ เหมือนไม่ค่อยเข้ากับ Hallstatt ที่เป็นเมืองที่อ่อนหวานน่ารักและแสนสงบ แต่หมู่บ้านนี้มี Beinhaus ซึ่งเป็นห้องเก็บรวบรวมกระโหลกศีรษะไว้มากกว่า 1200 ชิ้น โดยมี 610 ชิ้นที่มีการวาดลวดลายสีสรร บางชิ้นก็เป็นรูปดอกไม้สวยงาม เขียนชื่อและปี ค.ศ.ติดไว้ด้วย จุดประสงค์ที่นำหัวกระโหลกมารวมกันไว้ก็เพราะความจำกัดในเนื้อที่ที่จะทำหลุมฝังศพไม่เพียงพอในหมู่บ้าน ที่มีอยู่แล้วก็ไม่สามารถขยายต่อไปได้อีก ชาวเมืองจึงได้สร้าง Beinhaus เพื่อเก็บกระโหลกของผู้เสียชีวิตในหมู่บ้านรวมไว้ด้วยกัน โดยหัวกระโหลกทุกชิ้นได้รับการทำความสะอาดและนำไปผึ่งแดดกว่าสัปดาห์จนมีสีงาช้าง ก่อนจะนำไปตกแต่งและนำมารวมกันอย่างที่เห็น ประเพณีนี้เริ่มตั้งแต่ปี 1720 จนปี 1995 จึงได้นำกระโหลกชิ้นสุดท้ายของผู้หญิงคนหนึ่งที่เสียชีวิตในปี 1983 เพราะคำขอก่อนตายของเธอคือ ให้นำกระโหลกของเธอไปเก็บรวมไว้ที่ Beinhaus












The Cemetery
อยู่ในพื้นที่ต่อเนื่องกันจะมีทั้ง The Catholic Parish Church และ Beinhaus และด้านหลังของโบสถ์ก็จะเป็น The Cemetery หรือ ป่าช้า หรือ สุสานประจำหมู่บ้าน เป็นลานกว้างปูด้วยพื้นหินมองดูสวยงามคลาสสิค สุสานก็จะดูคล้ายกับสุสานทั่วๆไปในยุโรป แต่ที่นี่จะมีจุดเด่นคือเป็นจุดชมวิว ที่จะมองเห็นตัวเมืองและทะเลสาป ดูสงบ สวยงามไม่น่ากลัว


















กลับมาที่โรงแรม เช็คเอาท์แล้วลากกระเป๋าเดินไปที่ท่าเรือ Mark 1 อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม นั่งรอเรือเที่ยว 10.15 ใช้เวลาเดินทาง 7 นาที ค่าเรือคนละ 2.5 ยูโร เรือจะออกตรงเวลามาก เพราะจะต้องส่งให้ถึงท่าตามเวลา และเดินไปที่สถานีรถไฟอีก 3 นาที รถไฟจะมาถึงและออกจากสถานีเวลา 10.32 


ตารางเวลาเรือและรถไฟ


เก็บภาพบริเวณรอบๆท่าเรือ ยังไม่อยากจากเมืองที่แสนจะโรแมนติค แต่ก็มีภาระกิจอีกยาวไกล ไม่สามารถอิดออดได้







สถานีรถไฟ Hallstatt








ลงรถไฟที่สถานี Bac Ischl สถานีของ Postbus ก็จะอยู่ข้างๆกัน ขึ้นรถบัสสาย 150 ที่จอดรออยู่ที่ชานชลา E แล้ว สายนี้เป็นรถหวานเย็น ถ้าใครเร่งรีบอย่าขึ้นสายนี้เพราะจอดตลอดทางใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง แต่เราขึ้นสายนี้เพราะต้องการชมวิวระหว่างทางที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามมาก ผ่านเมือง St Wolfgang และทะเลสาป Wolfgang See ซึ่งจะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเลสาปคล้ายๆกับ Hallstatt




ต้องบริการตนเองค่ะ


ที่ Salzburg สถานีรถไฟกลาง (Hauptbahnhof)  กับ รถบัสก็จะอยู่บริเวณเดียวกันและเป็นจุดเริ่มต้นของรถบัสหลายสาย มีลานกว้างตรงกลางที่ชาวเมืองมานั่งรับแดดกัน


เดินไปที่โรงแรม Pension Jahn ประมาณ 500 เมตรจากสถานี



เราจะพักที่ Salzburg 2 คืน เมื่อเช็คอินเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อซื้อ Salzburg Card เราเลือกแบบ 48 hours ราคาคนละ 36 ยูโร ใช้ระบบขนส่งได้ทุกชนิด เข้าสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งได้ฟรี คุ้มมากค่ะ หาอาหารเที่ยงแถว HBF ง่ายๆก็ Burger King ถูกมาก Big King + Long Cheese Burger 2 อันแค่ 5 ยูโร



ขึ้นรถออกตะเวนให้ทั่ว ไม่ต้องกลัวหลงเพราะถ้าผิดเราก็ขึ้นสายเดิมกลับ การมี Card มันก็ดีอย่างนี้หละขึ้นรถได้ไม่จำกัด



Salzburg (ซาลซ์บวร์ก) ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลก (UNESCO) และเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศออสเตรียอีกเมืองหนึ่ง ได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1997 (ปี พ.ศ. 2540) เมือง Salzburg นี้เป็นจุดเริ่มต้นของเทือกเขาแอลป์ ซึ่งเป็นเทือกเขาใหญ่ของยุโรปโดยครอบคลุมตั้งแต่ออสเตรีย อิตาลี ไปจนถึงสวิตเซอร์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ เยอรมนี และฝรั่งเศสทางด้านตะวันตก Salzburg (ซาลซ์บวร์ก)  เป็นเมืองชายแดนก่อนจะข้ามไปสู่แคว้นบาวาเรียของประเทศเยอรมนี ขับรถจาก Salzburg ไป Munich ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง
Salzburg ในภาษาอังกฤษคือ Salt Castle มีความหมายว่า “ปราสาทเกลือ” คำว่าซาลส์ (Salz) ในภาษาเยอรมันแปลว่าเกลือ   แปลตามตัวได้ว่าปราสาทเกลือ ซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบเรือขนเกลือว่าเหมือนเป็นปราสาทเกลือ  ดินแดนแถบนี้เป็นแหล่งค้าเกลือเก่าแก่มาแต่โบราณ เกลือทำหน้าที่ถนอมอาหาร ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในแถบเมืองหนาว  ฉะนั้นใครมีเกลือจึงเปรียบเสมือนมีทองคำเลยทีเดียว  แถวนี้จึงร่ำรวยมาตั้งแต่อดีตยุคโรมัน เมืองนี้ตั้งอยู่บนริมแม่น้ำซาลส์ซักค์ (Salzach) มีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์  และเป็นเมืองแห่งศิลปินเพลงและเต็มไปด้วยศิลปะแบบบาร็อคและเป็นบ้านเกิดของคีตกวีเอกของโลก โวล์ฟกังก์ อมาเดอุส โมสาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart)  และเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music

Festung Hohensalzburg
สะพาน Mozartsteg ข้ามแม่น้ำ Salzach สวยและใสมาก น้ำเป็นสีเขียว ก็เป็นอีกแห่งที่อยู่ในฉากเรื่อง The sound of music เดี๋ยวเราจะกลับมาถ่ายตอนเย็นๆให้เหมือนกับในหนัง





Residentplatz & Mozartplatz
เป็นจัตุรัสกลางเมือง จุดเด่นของที่นี่ก็คือน้ำพุสไตล์บาร็อค รูปปั้นของ Mozart โบสถ์ Michaelskirche ส่วนด้านหลังของน้ำพุก็คือ Salzburger Dom หรือมหาวิหารแห่งซาลซ์บูร์ก และน้ำพุแห่งนี้ก็เป็นจัตุรัสใหญ่ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ The sound of music ด้วยเช่นกัน 



มาดูประวัติของคีตกวีเอกโมสาร์ทกันซักหน่อย  วูฟกังก์ อมาเดอุส โมสาร์ท ถือกำเนิดที่เมืองซาลส์บวร์กเมื่อวันที่ 27 มกราคม 1756  เขาแสดงอัจฉริยภาพทางดนตรีตั้งแต่อายุเพียงสามขวบ และเริ่มประพันธ์เพลงตั้งแต่อายุ 5 ขวบ  หลังจากตระหนักถึงความสามารถของลูกชาย พ่อของโมสาร์ทจึงพาลูกชายตระเวนแสดงไปทั่วยุโรปตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ  การแสดงที่เป็นที่กล่าวถึงบ่อยที่สุดคือการแสดงต่อหน้าพระพักตร์พระนางมาเรีย เทเรซา ณ พระราชวังเชินบรุนน์ และได้ขอเจ้าหญิงมารี อังตัวเน็ตต์พระธิดาของพระองค์แต่งงาน จริง ๆ แล้วซาลส์บวร์กเล็กเกินไปสำหรับความสามารถของโมสาร์ท และตัวเขาเองดิ้นรนที่จะไปจากเมืองนี้ให้ได้ เรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของโมสาร์ท กับซาลส์บวร์กอยู่ในขั้นแย่เลยก็ว่าได้ แต่ปัจจุบันซาลส์บวร์กใช้ชื่อโมสาร์ทเพื่อเป็นจุดขายในการท่องเที่ยว ราวกับเป็นลูกรักของเมืองเลยทีเดียว มีรูปปั้นโมสาร์ท จัตุรัสโมสาร์ท วิทยาลัยดนตรีโมสาร์ท แม้แต่ช็อกโกแลตก็ใช้ชื่อโมสาร์ท




ในบริเวณมีออกร้านขายเบียร์และไวน์

Michaelskirche Salzburg



 Residenzplatz จัตุรัสใหญ่ที่ปรากฏอยู่สองสามครั้งในภาพยนต์ ตรงกลางจัตุรัสจะมีรูปปั้นน้ำพุ Residenzbrunnen (Horse Fountain) อยู่ ส่วนฉากนี้ก็คือตอนที่มาเรียร้องเพลง “I Have Confidence”


Salzburger Dom มหาวิหารแห่งซาลส์บวร์ก
มหาวิหารแห่งเมืองซาลส์บวร์ก( Salzburg Cathedral) สร้างในสมัยเรอเนซองส์ตอนปลายต่อบาร็อคตอนต้น ถือเป็นโบสถ์บาร็อคยุคแรก สร้างขึ้นใหม่เพื่อแทนโบสถ์หลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ใหญ่จนเกินซ่อมแซม มหาวิหารหลังนี้ถูกระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถล่มเสียหาย แต่ต่อมาได้รับการบูรณะให้งดงามดังเดิม







ทางเข้าและภายในของมหาวิหารซาลส์บวร์ก
















เดินมาอีกหน่อยจะเป็นสุสาน Petersfriedhof หรือ St Peter Cemetery เป็นสุสานเก่าแก่ที่สุดในออสเตรีย เป็นที่ฝังศพบุคคลสำคัญๆ มากมาย เป็นจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง  แต่ละหลุมศพจะมีการตกแต่งด้วยต้นไม้ ดอกไม้อย่างสวยงามตามฐานะ ป้ายหินหรือป้ายเหล็กที่หลุมศพจะบอกอาชีพของเจ้าของหลุม ทายาทจะเป็นผู้ดูแลตกแต่งสวนที่หลุมศพอย่างอลังการ สวนที่นี่จึงสวยงามทีเดียว







 ภายในบริเวณสุสานมีโบสถ์มาร์กาเร็ต อาคารโบสถ์เป็นแบบโกธิคดั้งเดิม เป็นโบสถ์ที่ใช้ทำพิธีศพ




 จากสุสานมองขึ้นไปจะเห็น Festung Hohensalzburg (ป้อมโฮเฮนซาลส์บวร์ก) ซึ่งเดี๋ยวเราจะขึ้นไปโดย Cable Car


ใกล้กับสุสานมีโบสถ์ St Peter’s Abbey เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่มากสร้างในปี 696 โดย St Rupert  อาคารโบสถ์เดิมถูกไฟไหม้จนเสียหายอย่างหนักในปี 1127 และได้รับการปรับปรุงในศตวรรษที่ 18 และเพิ่มศิลปะแบบโรโคโคเข้าไปด้วย






Catacombs with rock tombs, St Peter Cemetery มองขึ้นไปด้านภูเขาจะเห็นช่องประตูทางขึ้น จะเป็นสุสานในยุคกลาง ทางขึ้นเป็นบันไดแคบ ขึ้นไปบนสุดจะเป็นที่ฝังศพของบุคลสำคัญของเมือง รวมทั้งน้องสาวของโมสาร์ท และมีแท่นบูชาอยู่หลายอัน











สถานี Funicular (Cable Car)
ลงจากสุสานหิน เดินต่อไปที่สถานี Cable Car เพื่อขึ้นไปยังป้อมโฮเฮนซาลสบวร์ก ใช้ Salzburg Card ขึ้นฟรีค่ะ



ป้อมโฮเฮนซาลสบวร์ก (Festung Hohensalzburg) เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของอำนาจทางโลกของอาร์คบิชอปเกบฮาร์ด ( Erzbischof Gebhard) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1077 เพื่อเป็นที่พำนักหลวงและป้องกันข้าศึก แต่มาสร้างเสร็จในปีค.ศ. 1681 ปัจจุบันได้รับการยกย่องว่าเป็นป้อมปราการซึ่งหลงเหลือความสมบูรณ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในมี ตำหนักใหญ่ คุกใต้ดิน ห้องทรมานนักโทษ สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเตาผิงที่ปูด้วยกระเบื้องที่มีความทนทานมาตั้งแต่ปี 1501 ในห้องทอง ( Golden room )และในห้องมีภาพจากคัมภีร์ไบเบิลด้วย 















เครื่องทรมาน

























บ้านโดดเดี่ยว ออกได้ 4 ทิศ ถ่ายจากบนป้อมโฮเฮน



Goldgasse เป็นซอยเล็กๆมีชื่อเสียงว่าเป็นถนนสายช็อปปิ้งของเมืองซาลส์บวร์ก





จาก Residenzplatz เดินขึ้นเหนือผ่าน Mozartplatz ทะลุไปถึงแม่น้ำ Salzach เราก็จะพบกับ สะพาน Mozartsteg สะพานคนข้ามเหล็กดัดสไตล์อาร์ทนูโว ตอนนี้เป็นฉากที่มาเรียและเด็กๆทั้งเจ็ดคนออกมาวิ่งเล่นนอกบ้านกันอย่างเริงร่า สวมชุดที่ตัดมาจากผ้าม่าน ก่อนจะร้องเพลง “Do Re Mi”


บรรยากาศยามค่ำคืนริมแม่น้ำ Salzach





นั่งรถกลับไปที่โรงแรม พักผ่อนก่อนนะคะ
ราตรีสวัสดิ์..........................


ตอนที่แล้ว
ตอนที่ 13 วันที่ 12 ของการเดินทาง From Cesky Krumlov to Hallstatt (14Oct)

ตอนต่อไป
ตอนที่ 15 วันที่ 14 ของการเดินทาง ที่ Salzburg (16Oct)

ขอฝากบล็อค 'ตะลุย Europe & UK'
ตะลุย Europe & UK ไม่ง้อทัวร์

การขอวีซ่า เชงเก้นและ UK
วีซ่า เชงเก้น และ UK

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น