วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วันที่ 14 ของการเดินทาง ที่ Salzburg (16Oct)

วันนี้ตามแพลนจะออกนอกเมืองไปขึ้นเขา Unterberg ตื่นแต่เช้าทานอาหารที่โรงแรม แล้วเดินมาที่ Hauptbahnhof  รอขึ้นรถบัสสาย 25 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที ก็จะถึงสถานีของ Funicular ที่จะขึ้น Unterberg สถานีนี้เรียกว่า Unterbergbahn ใช้ Salzburg Card ขึ้นฟรีนะจ๊ะ 


Unterberg Mountain อยู่ห่างจากตัวเมือง Salzburg ไปทางตอนใต้ประมาณ 16 กิโลเมตร จากตัวเมืองสามารถไปทางเส้นทางรถบัสสาย 25 จะผ่านทางเมืองเก่า ผ่านพระราชวัง Hellbrunn ไปจนสุดสายที่หมู่บ้าน St Leonhard  จะเป็นสถานี Funicular หรือกระเช้าซึ่งตั้งอยู่ที่ความสูง 456 เมตร จะใช้เวลาประมาณ 8 นาทีครึ่งไปถึงสถานี Geiereck ซึ่งเป็นสถานีปลายทางบนยอดเขา กระเช้าเปิดใช้มาตั้งแต่ปี 1961 รับส่งผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 100000 คนต่อปี

Untersberg หนึ่งในยอดเขาของ Berchtesgaden Alps อยู่ระหว่างเมือง Salzburg ของออสเตรีย กับ Berchtesgaden ของเยอรมัน ณ Geiereck อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1776 เมตร จุดที่สูงที่สุดของ Berchtesgaden Alps คือ 1973 เมตร


Unterbergbahn


ถ่ายจากบน Cable Car




ร้านอาหารบน Unterberg


จุดที่สูงที่สุดจะเห็นไม้กางเขนอยู่ไกลลิบ ท้าทายพลังหนุ่มสาวที่เหลือน้อยในตัวเสียเหลือเกิน ครั้งแรกก็ตัดสินใจว่าจะไปดีหรือไม่ เพราะทางขึ้นเขาลงเขาสลับกันไปกว่าจะถึงยอดกางเขน เห็นนักท่องเที่ยวหลายคนถอดใจ แต่บังเอิญเห็นมีชายคนหนึ่งอายุก็คงจะไม่น้อยไปกว่าเรา และเขาถือไม้ค้ำไต่เขาทั้งสองมือ เดินช้าๆไปเรื่อยๆ มองดูเหมือนร่างกายจะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไร ทำให้เกิดแรงฮึด เอาก็เอา แล้วเราก็ออกเดินไปด้วยใจที่มุ่งมั่นจะพิชิตยอดเขานี้เพื่อไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก ต้องใช้เวลาเดินไปกลับประมาณชั่วโมงกว่า แต่เมื่อขึ้นไปถึงยอดแลัว โอ้วววว สวยงามมาก คุ้มค่าถ้าไม่ขึ้นมาคงจะต้องเสียใจ เป็นเวลาที่ท้องฟ้าเปิดพอดี ถ้าตัดสินใจช้ากว่านี้ก็คงไม่ได้ภาพสวยๆ เพราะตอนเราเดินกลับเริ่มมีหมอกหนาและเริ่มจะมองไม่เห็นวิวแล้ว 















ระหว่างทางก็จะมีขั้นบันไดบ้าง ต้องเลาะไปตามซอกหินบ้าง มีหิมะเปียกแฉะ ต้องเดินด้วยความระมัดระวังเพราะลื่นมาก




























บางช่วงของทางเดินต้องลุยผ่านหิมะทำให้ลื่นและลำบาก




ระหว่างนั่ง Cable Car ลงจากเขา สูงและชันมาก




ลงจาก Unterberg ก็กลับมานั่งรถสายเดิม #25 ย้อนกลับมาลงที่ป้าย Schloss Hellbrunn ที่ป้ายจะมีติดเวลาเดินรถบอกไว้ ดูเวลารถเที่ยวต่อไปเอาไว้เพื่อจะออกมาทันพอดีไม่ต้องเสียเวลารอ 





Salzburg เป็นเมืองที่ปกครองโดยศาสนจักรที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากโรม เจ้าผู้ครองเมืองเป็นพระ เรียกว่า เจ้าชายสังฆราชา (Prince-Archbishop of Salzburg) ตอนที่สร้างปราสาท Schloss Hellbrunn เจ้าผู้ครองเมืองคือ Markus Sittikus
วังเฮลบรุนน์สร้างขึ้นในปี 1613-1619 เป็นวังที่ไม่มีห้องนอน เพราะเป็นวังตากอากาศพักร้อนที่แสนจะมีอารมณ์ขัน เพราะทั้งวังโดดเด่นไปด้วยสวน และน้ำพุแสนกลที่ออกแบบไว้เล่นตลกกับผู้มาเยือน เจ้าชายมาร์คุส เป็นคนสนุกสนาน ได้สร้างวังนี้เป็นที่เล่นเกมส์เกี่ยวกับน้ำ ปราสาทนี้ใช้อยู่เฉพาะตอนกลางวันในฤดูร้อนจึงไม่มีห้องนอน 










อาคารที่มองเห็นไกลๆคือ Monas schloss (Monthly Castle) อยู่ในสวนของพระราชวัง Hellbrunn เหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะเป็นสถานที่ที่สำหรับบรรดาภรรยาของ Markus Sittikus ใช้เป็นที่พำนักในช่วงที่ไม่สะดวกของแต่ละเดือน



ใช้ Salzburg Card ไปแลกบัตรเข้าทัวร์ Trick-Fountain ฟรี ได้รอบ 13.30 มีเวลาเดินชมรอบๆบริเวณพระราชวัง Hellbrunn และภายในพิพิธภัณฑ์























ทัวร์ Trick-Fountain จะแบ่งเป็นรอบๆ มี 2 ภาษาคือ อังกฤษกับเยอรมัน โดยหัวหน้าทัวร์จะเป็นผู้บรรยายทั้ง 2 ภาษา จะมีน้ำพุซ่อนไว้ทั่วบริเวณที่เข้าชมและเดินผ่าน ไกด์ก็จะแกล้งลูกทัวร์ด้วยการเปิดน้ำพุใส่ ให้ได้เปียกกันอย่างทั่วถึง ใช้เวลาทัวร์ประมาณ 40 นาที



ไกด์จะพาเรามารวมกลุ่มกันตรงนี้เพื่ออธิบายความเป็นมาของน้ำพุแสนกล บริเวณนี้เป็นที่จัดเลี้ยงสังสรรซึ่งน้ำพุจะมีอยู่ทั่วบริเวณนี้โดยจะซ่อนกลไกเอาไว้ เพื่อใช้เล่นตลกและให้ความบันเทิงกับแขกผู้มาเยือน บางทีก็มีน้ำพุฉีดออกมาจากใต้เก้าอี้นั่งของแขก






















เป็นเหมือนโรงละครเล็กๆ มีตุ๊กตาออกมาแสดงถึงชีวิตประจำวันของชาวเมือง Salzburg ถึงแม้เรายืนดูแล้วรู้สึกธรรมดา แต่ถ้าคิดถึงคนสมัยนั้นคงจะตื่นเต้นกับการเคลื่อนไหวของบรรดาตุ๊กตาเหล่านี้










ออกจากพระราชวัง Hellbrunn นั่งสาย 25 กลับเข้าเมือง เดินเล่นถนนช็อปปิ้ง แล้วแวะไปเยี่ยมบ้านเกิดของโมสาร์ท




บ้านของโมสาร์ทหรือพิพิธภัณฑ์ Mozart Geburtshaus (Mozart Birthplace) คือบ้านที่โมสาร์ทเกิด  ครอบครัวโมสาร์ทเช่าห้องเล็ก ๆ ชั้นสามในอาคารหลังนี้ และอยู่รวมกัน 4 คน พ่อ แม่ พี่สาว และโมสาร์ท จนมีอายุได้ 17 ปี จึงย้ายไปอีกหลังหนึ่งที่มีพื้นที่มากกว่า เราใช้บัตร Salburg card เป็นบัตรผ่านอีกเหมือนเดิม ทางเข้าดูเล็กๆ แต่ด้านในกว้างมาก ภายในบ้านจัดแสดงวิถีชีวิตของโมสาร์ท เพลงต่างๆที่ประพันธ์ไว้ ไวโอลิน ออแกนและเปียโน มีห้องเพลงไว้นั่งฟังเพลง 



















ออกจากบ้านโมสาร์ทก็เดินไปเรื่อยๆ และเข้าชมโบสถ์ในละแวกนั้น ก่อนจะขึ้นรถสาย 3 ไปลงที่ Mirabell Garden

 Kollegienkirche












Franziskanerkirche

นักร้องเปิดหมวก ร้องเพลงโอเปร่าได้ไพเราะมาก

Salzburg Cathedral






Mirabell Garden สวนมิราเบล เป็นสวนสาธารณะที่เปิดให้เข้าชมฟรี เป็นสวนที่ประกอบไปด้วยรูปปั้นและน้ำพุแบบบาร็อค และเป็นหนึ่งในฉากคลาสสิคของภาพยนตร์เรื่อง The Sound of Music ฉากที่มาเรียและเด็กๆลูกของกัปตัน Von Trapp ทั้ง 7 ร้องเพลงโด เร มี ใครที่ไม่เคยดูลองไปหามาดูก่อนไปเที่ยวนะ จะได้อินกับบรรยากาศเวลามาเที่ยวเมืองนี้ จริงๆก็ไม่ค่อยมีอะไร เห็นทัวร์ไทยชอบพามาที่นี่กันจัง แต่เรามาเพื่อจะตามรอยหนัง The Sound of Music



ฉากด้านหน้าของพระราชวังก็จะพบกับน้ำพุปีกาซุส (Pegasus Statue Fountain) เป็นฉากหนึ่งของเพลง Do-Re-Me



อุโมงค์ต้นไม้ที่พาดเป็นแนวยาวตลอดฝั่งซ้ายของสวน เป็นฉากหนึ่งของเพลง Do-Re-Me


พระราชวังมิราเบลล์ (Schloss Mirabell) ปัจจุบันเป็นสำนักงานราชการ


น้ำพุในสวนมิราเบลล์ เป็นฉากหนึ่งของเพลง Do-Re-Me



มาเรียและเด็กๆร้องและเต้นประกอบเพลง Do-Re-Mi




สวนรูปปั้นคนแคระ (Zwerglgarten) เจ้ารูปปั้นตัวที่อยู่เป็นตัวแรกติดกับสะพานทางเข้าเลย เป็นฉากหนึ่งของเพลง Do-Re-Me



บันไดทางขึ้นที่ประตูทางทิศเหนือของสวน เป็นฉากหนึ่งของเพลง Do-Re-Me




เริ่มมืดแล้ว นั่งรถไปแวะลง Supermarket หาซื้อของทานไปติดตู้เย็นไว้ พรุ่งนี้เตรียมตัวเดินทางไป Innsbruck เมืองสุดท้ายที่จะอยู่ใน Austria 
คืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ...................


ตอนที่แล้ว
ตอนที่ 14 วันที่ 13 ของการเดินทาง From Hallstatt to Salzburg (15Oct)

ตอนต่อไป
ตอนที่ 16 วันที่ 15 ของการเดินทาง From Salzburg to Innsbruck  (17Oct)  coming soon!

ขอฝากบล็อค 'ตะลุย Europe & UK'
ตะลุย Europe & UK ไม่ง้อทัวร์

การขอวีซ่า เชงเก้นและ UK
วีซ่า เชงเก้น และ UK

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น